ประเทศไทยก้าวสู่ "สังคมสูงวัย"มาตั้งแต่ ปี 2548
เมื่อประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปแตะ 10% ของประชากรทั้งหมด
เพียงไม่ถึง20 ปีต่อมา ในปี 2567 สัดส่วนผู้สูงอายุทะลุ 20% หรือกว่า 14 ล้านคน

ทำให้ไทยเข้าสู่สถานะ
"สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์"

และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น

0%

ในปี 2573 หรืออีก 6 ปี ข้างหน้า

โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปทำให้ “การส่งเสริมการทำงานของผู้สูงอายุ” กลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายในการสร้างความมั่นคงรายได้และคุณภาพชีวิตให้ผู้สูงวัย ลดภาระพึ่งพิงของครอบครัว และอุดช่องว่างกำลังแรงงานที่จะหดตัวลงจากอัตราการเกิดต่ำ

ในมิติระดับประเทศ การมีผู้สูงอายุทำงานมากขึ้นยังช่วยขยายฐานภาษีเพิ่มกำลังผลิต และชะลอแรงกดดันงบสวัสดิการ

จากการวิเคราะห์เพื่อทำรายงานข่าวสืบสวนด้วยข้อมูลเชิงลึก (Data Journalism for Investigative Reporting) ที่จัดทำโดยทีมอาสาสมัคร ชมรมเครือข่ายนักสื่อสารข้อมูลเชิงลึกแห่งประเทศไทย (TDJ) ทำให้ค้นพบว่าinvestigate

  • ผู้ที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปแต่ยังต้องทำงานมีจำนวนมากขึ้น ปัจจุบัน 5.26 ล้านคน คิดเป็น 37% ของผู้สูงอายุทั้งหมด 14 ล้านคน แต่มีการจ้างงานน้อยมาก ส่วนใหญ่ต้องทำอาชีพอิสระของตนเอง สะท้อนผ่านข้อมูลการเป็นลูกจ้างเพียง 12% ซึ่งที่ผ่านมารัฐเน้นผลักดันให้เอกชนเป็นผู้จ้างงานแต่มาตรการที่ออกมาเพื่อจูงใจเอกชนนั้นยังไม่ดึงดูดมากพอ
  • การจ้างงานในภาคเอกชนว่าน้อยแล้ว แต่การจ้างงานในภาครัฐยิ่งน้อยกว่าเพียง 2% แม้ว่ารัฐจะมีศักยภาพในการสร้างงาน มีอำนาจและงบประมาณก็ตาม

0%

ผู้สูงอายุยังอยากทำงาน

pictogram-0
pictogram-1
pictogram-2
pictogram-3pictogram-half-overlay
pictogram-4
pictogram-5
pictogram-6
pictogram-7
pictogram-8
pictogram-9
pictogram-10
pictogram-11
pictogram-12
pictogram-13

แล้วเขาจะมีโอกาสสักแค่ไหน ? สำรวจไปด้วยกันกับเรา

"ฉันยังไหว หารายได้เลี้ยงครอบครัว"

สูงวัยแต่ยังทำงาน เพิ่ม 1.5 เท่าใน 13 ปี

นับตั้งแต่ไทยเริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย ผู้สูงอายุที่ทำงานก็เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 ผู้สูงอายุที่ทำงานมีจำนวน 5.26 ล้านคน คิดเป็น 37.2% ของผู้สูงอายุทั้งหมด 14 ล้านคน แต่ดูจะยังตามไม่ทันประชากรสูงอายุที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อสัดส่วนผู้สูงอายุที่ทำงานค่อนข้างคงตัว สัดส่วนในปัจจุบันยังน้อยกว่าเมื่อปี 13 ปีก่อน

จำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด และจำนวนผู้สูงอายุที่ทำงาน

ผู้สูงอายุทั้งหมด: 14 ล้านคน

ผู้สูงอายุที่ทำงาน: 5.26 ล้านคน

ข้อมูล: การทำงานของผู้สูงอายุในประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ

สาเหตุสำคัญหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุยังคงทำงานอยู่คือความจำเป็นทางเศรษฐกิจ หลายคนไม่มีเงินออมเพื่อใช้ในบั้นปลายชีวิต ไม่มีการเตรียมตัวเกษียณมาก่อน และไม่อยากเป็นภาระลูกหลาน ซ้ำผู้สูงอายุบางคนยังคงต้องหาเงินช่วยเหลือทางบ้านอยู่อีกด้วย
แม้ว่าอีกหลายคนจะมีเงินออมแต่ก็เลือกทำงาน เพราะต้องการความมั่นคงเพื่อเผชิญกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้
หากคำนวณรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคโดยไม่คิดอัตราเงินเฟ้อ จากข้อมูลบัญชีกระแสการโอนประชาชาติ ปี 2564 พบว่า

ผู้สูงอายุ 1 คน ใช้เงินกี่บาท ?

ในช่วงอายุ 60 - 80 ปี

statistics

ต้องใช้เงิน 3.22 ล้านบาท

statistics

เฉลี่ยปีละ 1.5 แสนบาท

ตกวันละประมาณ 411 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในปี 2568
header
quote

ทำงานตากแดดทั้งวันได้ 300 บาท

quotequote
subin

สุบิน พิเคราะห์แน่ หรือ ยายติ๋ว อายุ 73 ปี แรงงานสูงอายุจากจังหวัดยโสธร ยังคงทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว โดยอาศัยอยู่กับสามีและลูก พวกเขาไม่มีงานประจำ แต่มีรายได้หลักมาจากการทำนา ขายข้าว และรับจ้างทั่วไป เธอเคยรับจ้างรายวันให้กับหน่วยงานรัฐหลายครั้ง โดยได้งานผ่านการชักชวนจากคนรู้จักที่เป็นเจ้าหน้าที่ หน่วยงานเหล่านั้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ลักษณะงานจึงเป็นงานใช้แรง เช่น ตากแดด ขุดดิน ใช้จอบเสียม ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงสี่โมงเย็น ได้ค่าจ้างวันละ 300 บาท ซึ่งเธอมองว่าน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับความหนักของงานที่ต้องทำ

"หน่วยงานจ้าง 300 บาท ทำงานทั้งวัน บางวันปลูกถั่ว เกี่ยวหญ้า ต้องทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น มีช่วงหนึ่งจ้างติดต่อกันสามเดือน เดือนละ 6,000 บาท แต่ก็ยังไม่พอค่าใช้จ่าย สำหรับงานที่หนักและตากแดดทั้งวันแบบนี้ จ้าง 300 ถือว่าได้น้อย เพราะปกติชาวบ้านจ้างกันดำนา เขาจ่าย 400 บาทต่อวัน"

นอกจากรายได้จากงานรับจ้างทั่วไป สุบินยังพอมีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 700 บาท เป็นอีกหนึ่งรายรับที่ช่วยประคองชีวิตในแต่ละเดือน แต่นี่ก็ยังไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน ทำให้ต้องออกไปรับจ้างทำงานอยู่เสมอ แม้ร่างกายจะไม่แข็งแรงเหมือนเดิม

“อายุก็มากแล้ว ทำงานไม่ค่อยไหว แต่ก็ต้องทำ เพราะยังมีรายจ่ายทุกเดือน” เธอกล่าว พร้อมเล่าว่า ช่วงฤดูทำนา ค่าปุ๋ยก็แพง ขณะที่ราคาข้าวก็ตกต่ำ รายจ่ายประจำอย่างค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำดื่มที่ต้องซื้อกระติกละ 13 บาท รวมถึงค่ากับข้าว และของใช้จำเป็นในครัวเรือน ก็ล้วนเป็นภาระที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ สุบินจึงยังคงเลือกทำงานต่อไป ตราบใดที่ยังมีคนจ้างและร่างกายยังพอไหว เพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัวในทุกวัน

subinsubin

งานยังน้อย ทุนไม่มี ทำฟรีช่วยครอบครัว

Background

87% ของผู้สูงอายุที่ทำงานอยู่เป็น แรงงานนอกระบบ
ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิสวัสดิการ ไม่มีหลักประกันทางสังคม
ไม่มีความมั่นคงจากรายได้ที่น้อยและมีงานไม่ต่อเนื่อง

Background

แต่เมื่อจำแนกภาคเศรษฐกิจ
ผู้สูงอายุทำงานในภาคเกษตรกรรมมากที่สุด แต่มีรายได้น้อยที่สุด
เฉลี่ยเดือนละ 6,826 บาท หรือเท่ากับวันละ 220 บาท เท่านั้น
ขณะที่ผู้ที่ทำงานในภาคบริการและการค้ามีรายได้เฉลี่ยดีที่สุดเดือนละ 14,612 บาท

แรงงานสูงวัยเหล่านี้ได้รับการศึกษาน้อย ส่วนใหญ่ต่ำกว่าประถมศึกษา
โอกาสด้านอาชีพจึงมักเป็นงานทักษะต่ำและทักษะปานกลาง
เป็นผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือด้านการเกษตรและประมง
และพนักงานบริการและผู้จำหน่ายสินค้า รวมกัน 75%
รายได้โดยเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 13,339 บาท

Background

แต่เมื่อจำแนกภาคเศรษฐกิจ
ผู้สูงอายุทำงานในภาคเกษตรกรรมมากที่สุด แต่มีรายได้น้อยที่สุด
เฉลี่ยเดือนละ 6,826 บาท หรือเท่ากับวันละ 220 บาท เท่านั้น
ขณะที่ผู้ที่ทำงานในภาคบริการและการค้ามีรายได้เฉลี่ยดีที่สุดเดือนละ 14,612 บาท

zoomคลิกที่วงกลมเพื่อดูคำตอบ

?

ภาคเกษตรกรรม

อยู่ในภาคเกษตรกรรม

อยู่ในภาคเกษตรกรรม

57.7%

โดยมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ

6,826 บาท

?

ภาคบริการและการค้า

อยู่ในภาคบริการและการค้า

อยู่ในภาคบริการและการค้า

32.4%

โดยมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ

14,612 บาท

?

ภาคการผลิต

อยู่ในภาคการผลิต

อยู่ในภาคการผลิต

9.9%

โดยมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ

13,509 บาท

งานอยู่ไหน ? จังหวัดสูงวัยใช่ว่ามีงาน

เมื่อดูสถานการณ์สังคมสูงวัยผ่านแผนที่ พบว่า 49 จังหวัด ของไทยมีประชากรสูงอายุมากกว่า 20%ตามเกณฑ์การเข้าสู่ สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ จังหวัดเหล่านี้กำลังมีสัดส่วนของคนหนุ่มสาวน้อยลง โดยเฉพาะ ภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงบางจังหวัดใน ภาคกลางที่กลายเป็น “จังหวัดสูงวัย” ไปแล้ว จึงเป็นพื้นที่ที่ต้องเร่งดำเนินนโยบายด้านสังคมสูงวัยอย่างเร่งด่วน

แต่จำนวนผู้สูงอายุที่ทำงานอาจไม่ได้สอดคล้องกับสถานการณ์ สังคมสูงวัยของจังหวัด โดยจะพบว่าจังหวัดที่มีการจ้างงานผู้สูงอายุที่มาก กระจุกตัวอยู่ตามจังหวัดหัวเมืองและจังหวัดที่มีกิจกรรมภาคการเกษตรสูง เพราะจากสถิติอาชีพของผู้สูงอายุส่วนมากคือแรงงานในภาคการเกษตร

ทำให้ตั้งข้อสังเกตต่อไปได้ว่า “รัฐบาลยังไม่มียุทธศาสตร์เชิงพื้นที่” ในการส่งเสริมการจ้างงานในพื้นที่ที่สังคมสูงวัยสมบูรณ์ แต่ให้จังหวัดดำเนินงานกันเองตามแผนงานโครงการของตน

จากบทความ zoom“ผู้ประกอบการกำลังมองหาแรงงานสูงอายุไทย...แบบไหน?” โดยรัตนศักดิ์ เจริญทรัพย์ ได้สังเคราะห์ข้อมูล ณ วันที่ 18 เมษายน 2568 จากเว็บไซต์ zoomเว็บไซต์ไทยมีงานทำ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหางานโดยกระทรวงแรงงาน พบว่ามี 82 ประกาศรับสมัครงาน 1,962 ตำแหน่งงาน จาก 66 ผู้ประกอบการ ที่รับสมัครผู้ที่มีอายุ 56 ปีขึ้นไปและระบุว่ายินดีรับผู้สูงอายุ
งานส่วนใหญ่ที่รับสมัครนั้นอยู่ในภาคการบริการและการค้า และให้ค่าตอบแทนวันละ 300 - 600 บาท แต่งานที่รับสมัครก็กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดหัวเมืองใหญ่เท่านั้น ทำให้ผู้สูงอายุที่อยู่นอกพื้นที่เศรษฐกิจเข้าไม่ถึงโอกาสในการจ้างงานจากภาคเอกชนเท่าใดนัก

"เตรียมรับมือสังคมสูงวัย" ทุกสมัย

แต่ทุ่มให้วัยเก๋ามีงานทำสักเท่าไหร่ ?

ตั้งแต่ปี 2560 รัฐบาลมีมาตรการสำคัญในการส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุ คือการจูงใจภาคเอกชนให้จ้างงานผ่าน zoomมาตรการลดหย่อนทางภาษี และทำ MOU ความร่วมมือด้านการส่งเสริมการมีงานทำให้ผู้สูงอายุกับเอกชนหลายแห่งอีกหลายฉบับ ควบคู่กับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

เมื่อรวบรวมงบประมาณประจำปีในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการมีงานทำ หรือการจ้างงานของผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ในช่วงปี 2562 - 2568 จากแผนงานบูรณาการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย, แผนบูรณาการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต และแผนงานยุทธศาสตร์ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการมีงานทำของประชาชน

พบว่า 7 ปีที่ผ่านมา มีงบประมาณที่จะทำให้ผู้สูงอายุมีงานทำรวมกว่า 261 ล้านบาท สำหรับเป้าหมาย 1.3 แสนคน เท่านั้น

thai-prime-minister

โดยในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ปี 2562 - 2565: 4 ปี) มีงบประมาณด้านนี้เกือบ 209 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 52 ล้านบาท ขณะที่ช่วงรัฐบาลเพื่อไทย (ปี 2566 - 2568: 3 ปี) จัดสรรงบประมาณให้เกือบ 53 ล้านบาท เฉลี่ยปีละเกือบ 18 ล้านบาท

งบประมาณประจำปีที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการมีงานทำหรือการจ้างงานของผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จากแผนงานบูรณาการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย, แผนบูรณาการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต และแผนงานยุทธศาตร์ของกระทรวงแรงงาน

นับว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุที่เติบโตอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง ภาคเอกชนจึงถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญหนึ่งในการจ้างงานผู้สูงอายุ พบว่ามีองค์กรเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เปิดรับแรงงานกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบอย่างจริงจัง ปัจจัยหนึ่งที่พบคือ การขาดแรงจูงใจเชิงนโยบาย และระบบสนับสนุนที่ชัดเจน

header

มาตรการลดหย่อนภาษียังไม่จูงใจ สร้างเพดานค่าแรง - จำนวนคนที่จ้างได้

quote

จารุวรรณ งามพิสุทธิ์ไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายบริษัทจ้างงานผู้สูงอายุ เพื่อเป็นการส่งเสริมกาารมีงานทำ สร้างรายได้ อีกทั้งก็เผชิญปัญหาการขาดแคลนแรงงาน การจ้างผู้สูงอายุจึงเป็นทางออก และยังช่วยให้ผู้สูงอายุมีงานทำด้วย

เธอกล่าวถึงมาตรการการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุจากภาครัฐว่า มีมาตรการเรื่องภาษี แต่ก็ยังไม่จูงใจมากพอ เพราะกฎหมายระบุค่าตอบแทนในการจ้างงานที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ต้องไม่เกิน 15,000 บาท ทำให้มีข้อจำกัดเรื่องการจ้างงาน เงินเดือนน้อย และยังไม่จูงใจพอ

ทั้งนี้ระเบียบสิทธิประโยชน์ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 639) พ.ศ. 2560 ระบุ บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งรับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปเข้าทำงาน โดยมีรายจ่ายเพื่อการจ้างงานไม่เกิน 15,000 บาท ต่อเดือนในแต่ละราย ทั้งนี้ เฉพาะการจ้างผู้สูงอายุในส่วนที่ไม่เกิน 10% ของจำนวนลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น

นอกจากเรื่องภาษี เธอยังชี้ว่าผู้สูงอายุในยุคนี้ ต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในประเด็นด้าน เทคโนโลยี เอไอ และสุขภาพ

“แรงงานผู้สูงอายุ ถ้าเขาได้เรียนรู้เทคโนโลยี หรือมีการส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม ก็สามารถทำงานได้ไม่แพ้คนรุ่นใหม่”

ข้อเสนอสำคัญอีกข้อหนึ่งของเธอ คือ รัฐควรจัดทำฐานข้อมูลกลางของแรงงานผู้สูงอายุ เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลแรงงานได้ง่าย และสามารถจับคู่การจ้างงานได้ตรงตามลักษณะงานและความสามารถ

subin
Background

แม้มาตรการนี้จะดูเหมือนเป็นแรงจูงใจ แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่สามารถกระตุ้นการจ้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีจุดที่น่ากังวลคือการตั้งเพดานค่าจ้างไว้ที่ 15,000 บาท เพื่อการลดหย่อนภาษี อาจกระตุ้นให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างไม่ให้เกินจำนวนนี้ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีไว้ ทำให้มาตรการที่ควรเป็นแรงจูงใจในการจ้างงาน อาจกลายเป็นการบิดเบือนกลไกแรงงาน เมื่อค่าจ้างถูกจำกัดภาคเอกชนอาจหลีกเลี่ยงการขึ้นเงินเดือนหรือปรับสวัสดิการให้เหมาะสมกับประสบการณ์และภาระงานของแรงงานสูงวัย

ตีฆ้องชวนเอกชนจ้าง แต่รัฐจ้างไม่ถึง 2%

ที่ผ่านมา

ดูเหมือนว่าภาครัฐผลักภาระเรื่องการจ้างงานผู้สูงอายุไปให้ภาคเอกชน เสียมากกว่า ทั้งที่รัฐเองคือ นายจ้างรายใหญ่ที่สุดของประเทศ และมีศักยภาพในการสร้างงานนอกเหนือจากตำแหน่งข้าราชการได้มาก กว่าล้านตำแหน่ง แต่คำถามคือในจำนวนมหาศาลนั้น รัฐจ้างผู้สูงอายุ จริง ๆ ไปแล้วเท่าไหร่?

จากข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุปี 2567 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า 12.8% ของผู้สูงอายุที่ยังทำงานอยู่ มาจากการจ้างงานโดยภาคเอกชน แต่ในส่วนของภาครัฐซึ่งมีงบประมาณและทรัพยากรมากมายกลับจ้าง ผู้สูงอายุเพียง 1.9% เท่านั้น

ตัวเลขนี้สะท้อนชัดเจนว่า แม้รัฐจะมีอำนาจ มีงบประมาณ แต่กลับไม่ได้นำศักยภาพเหล่านั้นมาใช้ในการรองรับหรือส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุอย่างจริงจัง

Background

ทีมอาสาสมัครชมรม TDJ ขุดคุ้ยและวิเคราะห์ข้อมูลจนพบตัวเลขที่น่าสนใจดังนี้
เมื่อเปรียบเทียบจำนวนผู้สูงอายุในแต่ละจังหวัด พบว่า

Background

ด้านจำนวน : จำนวนผู้สูงอายุมากที่สุดคือ กรุงเทพฯ
เพราะเป็นเมืองหลวงจึงมีจำนวนประชากรเยอะและมีจำนวนผู้สูงอายุที่ทำงานอยู่เยอะตามไปด้วย
จังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุทำงานน้อยที่สุดคือ จังหวัดนครนายก

Background

ด้านสัดส่วน : แต่หากเทียบสัดส่วนผู้สูงอายุที่ทำงานต่อผู้สูงอายุทั้งหมด
จังหวัดที่สัดส่วนทำงานเยอะที่สุดคือจังหวัด ยโสธรที่มีผู้สูงอายุทำงานถึง 64% ส่วนจังหวัดนนทบุรี
มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ทำงานน้อยที่สุดเพียง 18%

Background

ลูกจ้างภาคเอกชน : หากเจาะลึกถึงสถานภาพการทำงานของผู้สูงอายุ
จังหวัดที่มีจำนวนลูกจ้างภาคเอกชนสูงอายุมากที่สุดก็ยังเป็นกรุงเทพฯ รองลงมาคือ สมุทรปราการ
และน้อยสุดคือสกลนครเมื่อเทียบสัดส่วนเฉพาะในกลุ่มทำงานพบว่า
จังหวัดที่มีสัดส่วนลูกจ้างภาคเอกชนสูงอายุต่อผู้สูงอายุที่ทำงานทั้งหมดมากที่สุด คือสมุทรปราการ

Background

ลูกจ้างภาครัฐ : ส่วนจังหวัดที่มีจำนวนลูกจ้างภาครัฐสูงอายุมากที่สุดคือกรุงเทพฯ รองลงมาคือ สุรินทร์
ที่น่าสนใจอีกจังหวัดคือนนทบุรี ไม่มีผู้สูงอายุทำงานในภาครัฐเลย
และจังหวัดที่มีสัดส่วนลูกจ้างภาครัฐสูงอายุต่อผู้สูงอายุที่ทำงานทั้งหมดมากที่สุด คือพระนครศรีอยุธยา

Background

นอกจากนี้ยังพบว่ามี 4 จังหวัดที่มีลูกจ้างภาครัฐสูงอายุมากกว่า ลูกจ้างภาคเอกชนสูงอายุ คือ
สกลนคร อำนาจเจริญ และ สุรินทร์

Background

แต่หากคำนวณอัตราลูกจ้างสูงอายุในภาครัฐ ต่อผู้สูงอายุทำงานพันคน เพื่อแสดงความชุกที่แท้จริง พบว่า
กรุงเทพฯ ที่มีลูกจ้างรัฐสูงอายุเป็นอันดับ 1 กลับมีอัตราส่วนนี้ไม่ต่างจาก แพร่ และ อำนาจเจริญ อยู่ที่ 32 - 34
คนต่อพันคน
โดย พระนครศรีอยุธยา และ นครนายก ขึ้นมาเป็นท็อปของประเทศแทน มากกว่า 50 คนต่อพันคน

อย่างไรก็ตาม กรุงเทพฯ
นับว่าก็ยังอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีอัตราลูกจ้างสูงอายุในภาครัฐต่อผู้สูงอายุทำงานพันคนที่สูง
เพราะค่าเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 19 คนต่อพันคน ขณะที่จังหวัดส่วนใหญ่มีลูกจ้างสูงอายุในภาครัฐไม่เกิน 30 คน
ดังนี้

Thailand Map Background

อัตราลูกจ้างสูงอายุในภาครัฐ ต่อผู้สูงอายุทำงานพันคน

ท้องถิ่นมีพลัง!

หรือถึงเวลาที่รัฐในพื้นที่ควรเริ่มจ้างงานผู้สูงวัย

Background

จากข้อมูลทางการปกครอง ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ประเทศไทยมีองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
ทั้งหมด 5,300 แห่งทั่วประเทศ
หากแต่ละแห่งสามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อจ้างงานผู้สูงอายุอย่างน้อยแห่งละ 2 คน
ก็จะทำให้เกิดตำแหน่งงานใหม่สำหรับผู้สูงวัยได้มากถึง 10,600 ตำแหน่ง
ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างหลักประกันรายได้ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุในพื้นที่

Background

ในทางปฏิบัติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณในระดับหนึ่งที่สามารถนำมาใช้สนับสนุนงานด้านสังคม
สาธารณสุข หรือพัฒนาคุณภาพชีวิตในชุมชน ซึ่งรวมถึงการจ้างงานกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ
โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณะ งานชุมชน
หรือการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ผู้สูงวัยมีประสบการณ์

Background

หรือนี่อาจเป็นแนวทางที่เป็นไปได้ หากรัฐสามารถจัดสรรงบประมาณให้ชัดเจน
พร้อมวางกรอบการจ้างงานที่เหมาะสม ไม่เพียงจะช่วยลดภาระของครอบครัวเท่านั้น
แต่จะเป็นการส่งเสริมให้ผู้สูงวัยมีส่วนร่วมกับชุมชน เกิดความภาคภูมิใจในคุณค่าและบทบาทของตนเอง

Background

ยิ่งไปกว่านั้น หากได้รับการสนับสนุนจากนโยบายระดับชาติที่สอดประสานกับการบริหารงานท้องถิ่น
ก็จะยิ่งช่วยขยายผล และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในระยะยาวได้อย่างแท้จริง

header
quote

จากงานอิสระ สู่แรงงานภาครัฐในบั้นปลาย

quotequote
subin

สาลีปะ มูซอ อายุ 61 ปี ปัจจุบันทำงานตำแหน่งแม่บ้าน เป็นลูกจ้างรัฐในหน่วยงานเทศบาลตำบลท่าสาป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เธอเล่าว่า ก่อนหน้านี้ทำอาชีพธุรกิจส่วนตัว หลังจากนั้นเข้ามาทำงานในตำแหน่งแม่บ้านเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เกษียณได้ปีกว่าแต่ยังทำงานต่อ จุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาทำงานเพราะแม่บ้านคนเดิมลาออก แล้วมีการรับสมัครเลยได้ทำงาน เธอมองว่าการได้ทำงานในหน่วยงานเทศบาลเป็นเรื่องที่ดีเพราะใกล้บ้าน และครอบครัวสนับสนุน ซึ่งเธอมองว่าตัวเองยังทำงานได้ดี ไม่มีปัญหาในการทำงาน

“การทำงานมีความสุข ใกล้บ้าน ใกล้ใจ ได้งานได้เงิน และมีความสุข”

ปัจจุบันเธอมีหน้าที่ทำความสะอาด ต้อนรับแขก และดูแลความเรียบร้อยของสำนักงาน สัญญาการจ้างงานของเธอก่อนอายุ 60 ปี คือเป็นลูกจ้างของรัฐ ส่วนสัญญาจ้างหลังอายุ 60 ปี คือจ้างเหมาบริการ เธอมองว่าเป็นการจ้างงานที่ดีเพราะถือว่ายังเป็นลูกจ้างรัฐ มีงานที่แน่นอน มีวันหยุดตามเวลาราชการ มีเวลาเป็นของตัวเอง มีเวลาให้กับครอบครัว แต่สัญญาเป็นปีต่อปี เทศบาลจะต่อสัญญาให้ทุกปีจนกว่าเธอจะลาออกหรือไม่มีศักยภาพที่จะทำงานแล้ว

“ก๊ะห์อยากให้หน่วยงานภาครัฐส่งเสริมการทำงานผู้สูงอายุนะคะ เพราะอายุ 60-70 ปี ช่วงอายุนี้ยังมีศักยภาพในการทำงาน ไม่อยากให้ปิดกั้น อยากให้กฎหมายส่งเสริมการทำงานของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุจะรู้สึกมีคุณค่า และเป็นการส่งเสริมอาชีพให้กับผู้สูงอายุด้วย”

subinsubin
Background

ต่างประเทศส่งเสริมการจ้างงานวัยเก๋าอย่างไร

สถานการณ์ปัญหาความท้าทายในภาคเอกชนในการจ้างงานผู้สูงอายุ ไม่ได้มีเพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้นแต่ยังเกิดขึ้นในประเทศเช่นกัน ทั้งมีข้อกังวลต่อผลิตภาพการผลิต การปรับตัว การเลือกปฏิบัติ โดยกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีความพยายามในการจัดการความท้าทายเหล่านี้ด้วย 3 วิธีการ คือ

1

ดำเนินการแก้ไขหรือสั่งห้ามการเลือกปฏิบัติในความแตกต่างด้านอายุ

2

มีมาตรการอำนวยความสะดวกเพื่อรักษาการจ้างงาน และจ้างงานโดยลดต้นทุนแรงงาน และหาความสมดุลในกฎหมายคุ้มครองการจ้างงาน

3

สนับสนุนการใช้แนวปฏิบัติการจัดการด้านอายุเพื่อเพิ่มความสามารถในการจ้างงาน และผลิตภาพการผลิตของแรงงานผู้สูงอายุ

มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการเลือกปฏิบัติ

zoom

คลิกดูมาตรการ

มาตรการด้านค่าจ้าง

zoom

คลิกดูมาตรการ

มาตรการการบริหารจัดการเชิงรุก

zoom

คลิกดูมาตรการ

มาตรการด้านเงินอุดหนุน

zoom

คลิกดูมาตรการ

มาตรการการส่งเสริมการทำงานตลอดชีวิต

zoom

คลิกดูมาตรการ

มาตรการด้านActive Labour Market Policies (ALMPs)

zoom

คลิกดูมาตรการ

ข้อมูล: รศ.ดร.แก้วขวัญ ตั้งติพงศ์กูล, ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

zoom

คลิกแผนที่เพื่อดูมาตรการ

ฟินแลนด์

ฟินแลนด์

zoom

คลิกแผนที่เพื่อดูมาตรการ

ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศส

zoom

คลิกแผนที่เพื่อดูมาตรการ

ออสเตรเลีย

ออสเตรเลีย

zoom

คลิกแผนที่เพื่อดูมาตรการ

ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่น

zoom

คลิกแผนที่เพื่อดูมาตรการ

ที่มา OECD 2019

เหลืออีก 5 ประเทศที่ยังไม่ได้ดู

สำหรับนโยบายในการจ้างงานผู้สูงอายุในภาครัฐ หลายประเทศที่ไม่มีหรือได้ยกเลิกเพดานเกษียณอายุแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตามปัจจัยด้านอายุยังอาจเป็นคุณสมบัติสำคัญของงานบางตำแหน่งที่จำเป็น ขณะที่หลายประเทศใช้การขยายอายุเกษียณ เช่น สิงคโปร์ แก้ไขกฎหมายเกษียณอายุและการจ้างงานใหม่แบบขั้นบันไดมาตั้งแต่ ปี 2562 ให้แล้วเสร็จใน ปี 2573 โดยมีเป้าหมายเพิ่มเกณฑ์เกษียณอายุเป็น 65 ปี และการจ้างกลับเข้ามาทำงานได้จนถึงอายุ 70 ปี ปัจจุบันเกณฑ์การเกษียณอายุอยู่ที่ 63 ปีและจ้างกลับเข้าทำงานอยู่ที่ 68 ปี และในปีหน้า 2569 จะเพิ่มเป็น 64 ปี และ 69 ปี ตามลำดับ

header

ขยายอายุเกษียณ ยังไม่ใช่คำตอบ ?

quote
subin

แม้จะทำงานกับเด็กแต่ในมิติของคนสูงวัย ผศ.สุนี ไชยรส ประธานคณะทำงานสวัสดิการเด็กถ้วนหน้า มองว่าเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน ทั้งนี้ประเด็นการขยายอายุเกษียณ เธอมองว่าต้องดูให้รอบด้าน เพราะหากกฎหมายกำหนดว่าต้องเกษียณที่อายุ 65 ปี นั่นเท่ากับเป็นการบังคับให้คนทำงานต่อแม้อายุเยอะแล้ว ดังนั้นการทำงานของผู้สูงอายุจึงควรเป็นการสมัครใจ และต้องศึกษาผลกระทบให้มากกว่านี้ ทว่าจำนวนผู้สูงอายุในชุมชนที่ต้องการทำงานก็ยังมีอยู่จำนวนมาก

ข้อเสนอของเธอต่อการแก้ปัญหาซึ่งเชื่อมโยงกับงานที่สุนีทำคือการสร้างเครือข่ายชุมชน แนวทางหนึ่งที่เสนอคือการสร้างศูนย์ตายาย ที่เชื่อโยงคนสูงวัยและเด็กในชุมชนเข้าด้วยกัน ให้ตายายที่มีความรู้ด้านการเลี้ยงเด็กได้มาดูแลเด็กในช่วงที่พ่อแม่ไปทำงาน โดยมีค่าจ้างให้เป็นรายชั่วโมง เป็นการสร้างงาน สร้างคุณค่า ให้กับผู้สูงวัยในชุมชน และการดูแลเด็กในชุมชนนี้ อนาคตพวกเขาเหล่านั้นก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต

subinsubin
header

เปิดโอกาสให้ “คนนอก” ได้ทำงานภาครัฐ

quote
subin

นิตยา พร้อมพอชื่นบุญ หรือ เจ๊หมวย ประธานกรรมการมูลนิธิพร้อมใจพัฒนา วัย 77 ปี ผู้อุทิศตนกว่า 30 ปีทำงานเคียงข้างชุมชนแออัด เธอเห็นทั้งปัญหาและศักยภาพของผู้สูงอายุมาโดยตลอด เธอเล่าว่าสถานการณ์การจ้างงานผู้สูงอายุในปัจจุบัน “มีน้อยมาก” โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุทั่วไปที่ไม่ได้มีเส้นสาย ไม่มีช่องทางรับรู้ข่าวสารการรับสมัครงาน เธอยืนยันว่ายังมีคนสูงวัยที่ยังทำงานไหวอยู่อีกเยอะ แค่ยังไม่มีโอกาสให้พวกเขาได้ทำ

“รัฐยังขาดความจริงใจในการผลักดันเรื่องเปิดโอกาสการทำงานแก่ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในภาครัฐเองที่ปัจจุบันมีการสนับสนุนให้เอกชนจ้างงานผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แต่รัฐเองกลับมีการจ้างงานน้อยกว่า สังเกตจากตามหน่วยงานสำนักงานเขตต่าง ๆ ก็แทบไม่มีผู้สูงอายุทำงาน ทั้งที่ควรเริ่มต้นจากตรงนี้ก่อน”

ปัจจุบัน เจ๊หมวยยังทำงานอยู่ตลอดกับเครือข่ายและชุมชนแออัด แม้ตอนนี้อายุของเธอจะย่างเข้าสู่วัย 78 แต่ยังมีศักยภาพในการทำงาน ยังพิมพ์งานได้ นอกจากนี้เธอยังเป็นที่ปรึกษาในคณะอนุกรรมาธิการด้านสวัสดิการสังคมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในการพูดถึงประเด็นการจ้างงานผู้สูงอายุ เธอรู้สึกว่าเสียงของกลุ่มเปราะบางยังถูกละเลย ข้อเสนอหนึ่งของเจ๊หมวยคือ “ไม่ควรจ้างข้าราชการคนเดิมที่เกษียณแล้ว แต่ควรจ้างคนข้างนอกที่เป็นคนทั่วไปมากกว่าเพราะว่าคนที่เกษียณแล้วมีสวัสดิการอยู่แล้ว”

เมื่อถามถึงผลลัพธ์ในภาพรวมหากมีการจ้างงานผู้สูงอายุในภาครัฐมากขึ้นจะดีต่อประเทศไทยอย่างไร เจ๊หมวยตอบอย่างชัดเจนว่า

“คนเหล่านี้จะไม่เป็นภาระกับรัฐ ไม่ต้องพึ่งลูกหลาน แต่จะกลายเป็นพลังของชุมชน พลังของประเทศ เปลี่ยนจากภาระเป็นพลังได้”

subinsubin
Economic BackgroundMonitorWorld GlobeCoins

หากผู้สูงอายุทำงานมากขึ้น เศรษฐกิจจะได้อะไร?

header

ผู้สูงอายุที่ทำงานได้ ไม่ควรถูกมองว่าเป็นภาระ แต่คือโอกาสใหม่ของเศรษฐกิจและสังคมไทย

quote
subin

รศ.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล ย้ำว่า รัฐควรส่งเสริมงานที่ยืดหยุ่นทั้งเวลาและรูปแบบ เช่น งานบางวัน งานไม่เต็มเวลา หรือสนับสนุนการเป็นผู้ประกอบการของผู้สูงอายุเอง

ในขณะที่ภาครัฐยังติดกรอบของเกษียณอายุที่ 60 ปี การผลักดันให้ “ยืดหยุ่น” ขึ้นจึงอาจเป็นทางออก เช่น การขยายอายุเกษียณแบบสมัครใจในหน่วยงานที่เหมาะสม หรือเปิดโอกาสให้ทำงานบางประเภทหลังเกษียณได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านอายุ

เราต้องเปลี่ยนภาพจำในสังคม ด้วยการขจัดอคติเรื่อง “อายุ 60 ปี ≠ แก่ ≠ ทำงานไม่ได้” ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการจ้างงานกลุ่มนี้ ถ้าเรายอมรับว่า อายุ 60 ยังมีศักยภาพ ทำงานได้ และมีระบบสนับสนุนที่เหมาะสม ทั้งรัฐ เอกชน และสังคมจะได้ประโยชน์ร่วมกัน

ส่วนผลดีในด้านเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น รศ.เฉลิมพล มองว่าสามารถแบ่งได้ 2 ระดับ คือ ระดับมหภาค ด้านเศรษฐกิจประเทศ ผู้สูงอายุมีรายได้ ช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ด้านตลาดแรงงาน บรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงานจากสังคมสูงวัยและเด็กเกิดน้อย ด้านการคลังภาครัฐ รายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น ภาระสวัสดิการลดลง ส่วนในระดับจุลภาค ด้านตัวบุคคล ผู้สูงวัยพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น เป็น active ageing มีศักดิ์ศรีและสุขภาพดีขึ้น ด้านครัวเรือน ลดภาระการพึ่งพิง บรรเทาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ

subinsubin
economy
header

ถ้าแรงงานผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ก็เหมือนมีแรงงานเพิ่มขึ้นทั้งระบบ

quote
subin

พรรณวดี ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้การจ้างงานผู้สูงอายุจะถูกพูดถึงในเชิงสังคมและคุณภาพชีวิตมาโดยตลอด แต่อีกมุมหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ผลเชิงเศรษฐกิจในภาพรวม โดยเฉพาะในภาวะที่ประเทศไทยเผชิญกับปัญหา “กำลังแรงงานหดตัว” และ “สังคมผู้สูงวัย” ไปพร้อมกัน

เพราะการเปิดรับแรงงานสูงอายุเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ไม่เพียงช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในภาพรวม แต่ยังสะท้อนการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจโดยตรง อาจดูได้การเติบโตของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) เปรียบเทียบกับจำนวนของการจ้างงานผู้สูงอายุ ที่หากมีการจ้างงานของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น มีแรงงานมากขึ้น ก็อาจสัมพันธ์กันมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ

“ถ้าแรงงานผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ก็เหมือนเรามีแรงงานเพิ่มขึ้นทั้งระบบ มันทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เช่น การจับจ่ายใช้สอย การลงทุน การหมุนเวียนของรายได้ในครัวเรือน ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพใหญ่” พรรณวดี กล่าว

อย่างไรก็ตาม พรรณวดีเน้นย้ำว่า การจ้างงานต้องไม่ใช่เพียงเพื่อให้มีงานทำเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึง “ตำแหน่งงานที่เหมาะสม” เช่น งานที่ไม่ต้องใช้แรงมาก งานที่ให้เวลาและเงื่อนไขยืดหยุ่น และเป็นงานที่เปิดโอกาสให้ใช้ทักษะหรือประสบการณ์ชีวิตได้

subinsubin

ปรับปรุงสิทธิสวัสดิการผู้สูงอายุ ช่วยวัยเก๋าไม่ต้องทำงานเพราะ “ดิ้นรน”

quote
subin

สมชาย กระจ่างแสง เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ ผู้เสนอนโยบายปรับเบี้ยคนชราเป็นอัตราเดียวที่ 3,000 บาท และจ่ายแบบถ้วนหน้าให้คนชราทุกคน เขามองเรื่องการจ้างงานผู้สูงอายุว่า ต้องมีการสนับสนุนงานที่เหมาะสม เพราะผู้สูงอายุบางคนแม้อยากทำงานต่อ แต่ศักยภาพก็อาจได้ไม่เท่าเดิม และโอกาสในการเข้าถึงงานเข้าถึงรายได้น้อยลง แต่สำหรับผู้สูงอายุบางคน ที่พวกเขาทำงานอยู่เพราะอยากมีกินมีใช้ จึงต้องไปตรากตรำทำงานต่อทั้งที่อายุ 60 ปีแล้ว ดังนั้นการมีบำนาญถ้วนหน้าจึงถือเป็นตัวเลือกหลักในการส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้สูงอายุ

เพราะการเปิดรับแรงงานสูงอายุเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ไม่เพียงช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในภาพรวม แต่ยังสะท้อนการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจโดยตรง อาจดูได้การเติบโตของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) เปรียบเทียบกับจำนวนของการจ้างงานผู้สูงอายุ ที่หากมีการจ้างงานของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น มีแรงงานมากขึ้น ก็อาจสัมพันธ์กันมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ

“ข้อเสนอเรื่องการจ้างงานผู้สูงอายุนั้นทำได้ แต่ต้องงานเป็นงานที่เหมาะสม แต่แนวคิดบำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาท คือตัวเลือกหลัก เพราะว่าผู้สูงอายุพึ่งพิงรายได้ 3 แหล่งคือ ลูกหลาน รายได้จากการทำงาน และเบี้ยยังชีพคนชรา แบบนี้ถ้าเขามีเงินบำนาญ ลูกหลานก็อาจจะส่งเสียให้น้อยลง จะได้เองเงินไปทำอย่างอื่น” สมชาย กล่าว

subinsubin

เพื่อให้มีสิทธิและมีสวัสดิการที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาแก่ตัวลง แต่เพราะพวกเขายังมีคุณค่าและศักยภาพที่สังคมต้องไม่มองข้าม บำนาญถ้วนหน้าแนวคิดหนึ่งในการสร้างตาข่าย รองรับทางสังคม ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” แต่สำหรับเรื่องการขยายการจ้างงานผู้สูงที่เหมาะสมสำหรับคนสูงวัย ก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาวะอัตราการเกิดต่ำแบบนี้ อีกทั้งเป็นมาตรฐานรองรับสำหรับแรงงานสูงวัยเพื่อให้มีสิทธิและมีสวัสดิการณ์ที่เหมาะสม เพราะถ้าผู้สูงอายุได้รับการสนับสนุน พวกเขาก็จะไม่ใช่ภาระ แต่คือพลังที่พร้อมขับเคลื่อนประเทศต่อไป

header

“อายุมากขึ้น แต่ไม่ไร้คุณค่า” สภาผู้สูงอายุฯ หนุนจ้างงานผู้สูงวัยลดติดเตียง สร้างคุณค่าในตัวเอง

quote

“การจ้างงานผู้สูงอายุอาจไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจโตหวือหวา แต่ผลทางสังคมมีแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพใจ ความภูมิใจในตนเอง และการไม่เป็นภาระ”

ท่ามกลางสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” การพูดถึงผู้สูงอายุในเชิงภาระอาจถึงเวลาต้องเปลี่ยนเป็นการพูดถึง “พลังของผู้สูงวัย” แทน

นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า การเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีงานทำ เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ไม่เพียงเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตัวเอง แต่ยังช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่า ไม่ถูกทอดทิ้ง หรือกลายเป็น “คนติดบ้านติดเตียง” ซึ่งเป็นปัญหาที่กำลังเพิ่มขึ้นในหลายครัวเรือนไทย “รายได้อาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่การทำงานทำให้คนรู้สึกว่าตนเองยังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ยังสามารถมีบทบาท และใช้ประสบการณ์ที่มีมายาวนานให้เกิดประโยชน์” นพ.วิชัยกล่าว

ในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือเยอรมนี มีการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุอย่างจริงจัง ทั้งในภาคธุรกิจ สถานศึกษา หรือแม้แต่ในงานอาสาสมัคร ขณะที่ในไทยเริ่มมีการพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้น แต่ยังขาดกลไกสนับสนุนอย่างเป็นระบบ เช่น การจูงใจภาคเอกชน หรือการจัดอบรมทักษะใหม่สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการเริ่มงานในวัยหลังเกษียณ

“ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องทำงานหนัก แต่สามารถทำงานที่เหมาะสม เช่น งานบริการ งานสอน งานดูแลเด็ก หรือแม้แต่งานที่ใช้ประสบการณ์ด้านบริหารจัดการ ซึ่งเป็นทุนทางปัญญาที่มีคุณค่า”
ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุฯ กล่าว

ขณะที่ข้อเสนอจากภาคประชาชนเรียกร้องให้มีการปรับนโยบายแรงงาน เช่น ขยายอายุเกษียณให้ยืดหยุ่นตามศักยภาพ และจัดตั้ง “ศูนย์จับคู่แรงงานสูงอายุ” เพื่อช่วยให้ผู้สูงวัยได้เจองานที่เหมาะสมกับตน ในสังคมที่คนแก่มีมากกว่าคนหนุ่มสาว การมองเห็นศักยภาพของผู้สูงอายุจึงไม่ใช่แค่การให้โอกาสเฉพาะบุคคล แต่เป็นการสร้างสังคมที่ทุกช่วงวัยอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพและศักดิ์ศรี

subinsubin
subin

"ฟังเสียงสูงวัย ไฟแรง"

thunder
somchai

"อยู่บ้านมันเหงา สมองฝ่อ" เสียงจากแรงงานวัย 72 ปี ที่ยังสนุกกับการทำงานต่อหลังเกษียณ

somchai

ทำงานในวัยสูงอายุ ไม่ได้นึกถึงความร่ำรวยแล้ว

header

การทำงานไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่มีสังคม ไม่โดดเดี่ยว

quote
subin

สุจิน รุ่งสว่าง หรือ ป้าจิน อายุ 73 ปี ประธานศูนย์ประสานงานเครือข่ายแรงงานนอกระบบ มองว่าการที่ผู้สูงอายุมีงานทำ จะเป็นเครือข่ายหนึ่งของสังคมในการช่วยกันดูแลผู้สูงอายุ เพราะสถานการณ์ปัจจุบัน มีผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่คนเดียวจำนวนมาก และเหตุการณ์ที่เจอบ่อยคือ ผู้สูงอายุตายอย่างโดดเดี่ยวในบ้านหรือในห้องเยอะขึ้น กว่าจะมีคนรู้ก็ผ่านไปหลายหลายวัน หรือจนกว่าจะได้กลิ่นถึงทราบว่าเสียชีวิตแล้ว นี่คือหนึ่งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ดังนั้นความสำคัญของการจ้างงานคือ มีเพื่อน มีเงิน มีรายได้ และผู้สูงอายุก็จะเข้าถึงสิทธิการรักษามากขึ้น ถ้าป่วยก็มีการช่วยกันสอดส่องเฝ้าระวังพาไปหาหมอ หรือหากพบว่าเจ็บป่วยก็จะสามารถช่วยได้ทันท่วงที

“บ้านเรากำลังเป็นสังคมแบบนี้ พอเราได้ทำงานก็จะมีสังคมแบบมีเพื่อนติดตามกัน สมมติถ้าไม่มาทำงาน โทรไม่รับ ก็ไปดูที่บ้าน พาไปหาหมอ หรือประสานให้รถมารับ เป็นสังคมที่เกื้อหนุน เป็นใยแมงมุมเชื่อมโยงดูแล เป็นการใช้สังคมแบบเชื่อมโยงบูรณาการกัน” สุจิน กล่าว

subinsubin

ดังนั้น จากการทำรายงานข่าวด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้
สรุปได้ว่าควรมีการผลักดันนโยบายของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานผู้สูงวัยที่มีอยู่
กว่า 14 ล้านคน ในประเทศไทย ดังนี้

1
รัฐควรผลักดันนโยบายเพิ่มการจ้างงานผู้สูงอายุใหม่ ในหน่วยงานรัฐโดยเฉพาะองค์กรปกครองท้องถิ่น รวมถึงกำหนดตัวชี้วัดอย่างชัดเจนทั้งปริมาณและคุณภาพ
2
รัฐควรออกเป็นนโยบายแห่งชาติ ในการออกมาตรการจูงใจสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนสำหรับการจ้างงานผู้สูงวัยมากขึ้น
3
รัฐควรมีนโยบายส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงวัยอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงสิทธิในการทำงาน ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และลักษณะงานที่สอดคล้องกับศักยภาพของผู้สูงวัยแต่ละกลุ่ม
4
รัฐควรจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านการจ้างงานผู้สูงอายุ ที่ทั้งนายจ้างและผู้สูงวัยสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อจับคู่ความต้องการอย่างเหมาะสม ทั้งในด้านคุณสมบัติ ลักษณะงาน และความต้องการของทั้งสองฝ่าย

ถึงเวลา...เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีรับมือ
รัฐต้องนำ ต้องทำจริง

รายงานชิ้นนี้ผลิตโดย

ปวีณา ชูรัตน์

ชนากานต์ อาทรประชาชิต

ณภัค ปวีชัยณภา

อภิรัช นิ่มอนุสสรณ์กุล

ธนบัตร บุญธูป

Footer BackgroundPartner Logos Banner